ในอดีต “โดรนทางการทหาร” ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนและโจมตีในเขตสงคราม แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ได้แพร่หลายสู่ภาคพลเรือน เกิดกรณีการใช้โดรนในอาชญากรรม สอดแนม หรือแม้แต่อุบัติเหตุในที่สาธารณะอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ภัยคุกคามจากโดรนกลายเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องตื่นตัว ไม่ใช่เฉพาะในสนามรบเท่านั้น

ประเภทภัยคุกคามจากโดรน (Drone Threats)
  • สอดแนมหรือสืบข้อมูลลับ (Espionage): นอกจากแค่ถ่ายภาพปกติแล้ว โดรนทางการทหารหรือโดรนเชิงพาณิชย์ที่ติดตั้งกล้องความละเอียดสูง เซนเซอร์อินฟราเรด และเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์ สามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นความลับทางยุทธศาสตร์ได้ ทั้งในองค์กร รัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคง
  • การโจมตีทางอากาศ (Aerial Attack): ภัยคุกคามในสนามรบ ซึ่งปัจจุบันขยายไปถึงเป้าหมายพลเรือน เช่น การนำระเบิด วัตถุไวไฟ หรือสารเคมีขึ้นไปปล่อยเหนือเป้าหมาย โดรนขนาดเล็กจึงกลายเป็นอาวุธลอบโจมตีที่เข้าถึงยาก
  • ขโมยทรัพย์สินหรือข้อมูล (Theft): โดรนสามารถบรรทุกเครื่องดักฟัง, ขโมยวัตถุมีมูลค่าจากอาคารสำนักงาน สถานที่ปิด หรือแม้แต่ถ่ายเอกสารสำคัญและส่งออกผ่านเครือข่ายไร้สาย
  • รบกวนระบบการบิน (Flight Interference): การบินของโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตใกล้สนามบิน ท่าอากาศยาน หรือเส้นทางบินพาณิชย์ เสี่ยงต่อการชนหรือรบกวนสัญญาณนำร่อง
  • การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack): โดรนสามารถทำหน้าที่เป็นจุดเข้าโจมตีทางไซเบอร์ ลักลอบเชื่อมต่อระบบ Wi-Fi ภายในองค์กร, hack อุปกรณ์ IoT หรือปล่อยมัลแวร์ในระหว่างปฏิบัติการ
  • ละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy Invasion): โดรนอาจแอบถ่ายภาพในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ที่อยู่อาศัย รีสอร์ต โรงเรียน หรือใช้เป็นเครื่องมือแบล็คเมล
แนวโน้มภัยคุกคามจากโดรนในอนาคต
  • โดรนทางการทหารอัจฉริยะ: ปัจจุบันเริ่มมีการนำ AI มาใช้ในโดรนเพื่อให้วิเคราะห์ดินทาง, ติดตามเป้าหมาย, หลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวน และเลือกเป้าหมายด้วยตนเอง รวมถึง “Super Swarms” หรือฝูงโดรนอัตโนมัติ ที่โจมตีเป็นหมู่คณะ
  • อาชญากรรมข้ามพรมแดน: โดรนถูกใช้ในการขนส่งของผิดกฎหมายข้ามแดน เช่น ยาเสพติด อาวุธ หรือแม้แต่ลักลอบนำของเข้าเรือนจำได้อย่างง่ายดาย
  • โจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ: เช่น โรงไฟฟ้า, เขื่อน, ระบบคมนาคม และศูนย์ข้อมูล ถูกจัดเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรไซเบอร์และกลุ่มก่อการร้าย เนื่องจากระบบเหล่านี้เสี่ยงต่อผลกระทบวงกว้าง
ทำไมต้องมีระบบ “ตรวจจับโดรน” (Drone Detector)?
  • การ “ตรวจจับโดรน” ด้วยเรดาร์, กล้อง AI, และ RF Analyzer เป็นด่านแรกในปกป้องความปลอดภัยพื้นที่ยุทธศาสตร์
  • หน่วยงานทหารและรัฐบาลทั่วโลกลงทุนระบบ Drone Detection เพื่อรับมือโดรนทางการทหารและโดรนพลเรือนที่ดัดแปลงมาเป็นอาวุธ
ข้อดีของระบบตรวจจับ
  • เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: ระบบยุคใหม่สามารถตรวจสอบพื้นที่หลายกิโลเมตรโดยอัตโนมัติ แม้ในสภาพอากาศไม่อำนวย
  • แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์: ลดเวลาเตรียมพร้อมรับมือภัยได้ทันที
  • สนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูล: เก็บบันทึกสัญญาณบิน รูปแบบการเคลื่อนตัว ประวัติการบุกรุกไว้เป็น Big Data เพื่อปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย
แนวทางรับมือและการจัดการภัยคุกคาม
  1. ติดตั้งระบบตรวจจับโดรน (Drone Detector): คัดกรองการเคลื่อนไหวทางอากาศโดยอัตโนมัติ ตรวจจับก่อนโดรนเข้าใกล้
  2. นำเครื่องรบกวนโดรน (Drone Jammer) มาใช้งาน: ส่งสัญญาณรบกวนเพื่อหยุดการทำงานของโดรนทันที
  3. ฝึกอบรมและทดสอบแผนฉุกเฉินกับบุคลากร: เพื่อให้รู้วิธีโต้ตอบและปกป้องพื้นที่สำคัญ เช่น มาตรการ Lockdown โซนอาคาร, การแจ้งเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติ
  4. พัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญ: เช่น ระบบ Drone Forensic เพื่อสืบหาผู้ควบคุมหลังเหตุการณ์
ข้อควรระวังและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • ในหลายประเทศ การใช้เครื่องรบกวนหรือเครื่องตรวจจับต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เนื่องจากอาจไปรบกวนสัญญาณหรือกระทบต่อบุคคลที่สาม การตรวจสอบข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนใช้งานจริง

สรุป

โดรน—โดยเฉพาะโดรนทางการทหาร—คือภัยคุกคามยุคใหม่ที่ต้องจับตา การเตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีตรวจจับโดรนและมาตรการป้องกันทั้งด้านเทคนิค บุคลากร และกฎหมาย จะช่วยปกป้ององค์กร ชุมชน และประเทศจากการถูกโจมตีหรือสอดแนมทางอากาศในยุคดิจิทัลได้อย่างรอบด้านและยั่งยืน



ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Drone Detector ได้ที่ : Dronedetection
ติดต่อสอบถ่ามเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID@droneacademy