สิ้นสุดการรอคอยสำหรับ “Project Moohan” ที่ถูกจับตามองมาตลอดทั้งปี เมื่อ Samsung ได้ประกาศเปิดตัว Samsung Galaxy XR อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ณ สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้
นี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ แต่คือการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์ของ 3 ยักษ์ใหญ่ Samsung, Google และ Qualcomm เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ Spatial Computing ด้วยสเปกที่ “แรงกว่า ชัดกว่า แต่เบากว่า” คู่แข่งในตลาดอย่าง Apple Vision Pro โดยเปิดราคามาที่ $1,799 (ประมาณ 60,000 บาท) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น
เราได้รวบรวมข้อมูลสเปกเชิงลึกและฟีเจอร์ทั้งหมดมาสรุปให้แล้วครับ
1. หน้าจอ Micro-OLED ที่ชัดที่สุดในโลก
จุดเด่นที่สุดของ Galaxy XR คือระบบการแสดงผลที่ Samsung Display จัดเต็มมาให้ด้วยเทคโนโลยี Micro-OLED
ความละเอียดระดับปีศาจ: หน้าจอคู่มีความละเอียดรวมกันถึง 27-29 ล้านพิกเซล (3,552 x 3,840 พิกเซลต่อข้าง) ซึ่งเมื่อเทียบกับ Apple Vision Pro ที่มี 23 ล้านพิกเซล ถือว่า Samsung ชนะขาดในเรื่องความคมชัด
ความหนาแน่นพิกเซล (PPI): สูงถึง 4,032 PPI ด้วยขนาดพิกเซลเพียง 6.3 ไมโครเมตร ทำให้ภาพที่เห็นเนียนกริบจนแยกไม่ออกว่าเป็นภาพดิจิทัล หมดปัญหาเรื่อง Screen Door Effect
การแสดงผล: รองรับขอบเขตสี DCI-P3 ถึง 95-96% และมีมุมมองกว้าง (FOV) 109 องศา พร้อมอัตรารีเฟรชเรตสูงสุด 90Hz ให้ภาพลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
2. ขุมพลัง Snapdragon XR2+ Gen 2 และระบบประมวลผล
หัวใจหลักของการประมวลผลคือชิปเซ็ต Snapdragon XR2+ Gen 2 Platform ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ XR โดยเฉพาะ
ประสิทธิภาพ: CPU แรงขึ้น 20% และ GPU แรงขึ้น 15% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำงานร่วมกับชิป Hexagon NPU เพื่อประมวลผล AI และเซนเซอร์จำนวนมหาศาล
หน่วยความจำ: ให้ RAM มาถึง 16GB (LPDDR5) เพื่อการสลับแอปที่ลื่นไหล และความจุภายใน 256GB
3. ระบบเซนเซอร์และกล้องรอบทิศทาง (16 ตัว!)
เพื่อการทำ Tracking ที่แม่นยำและการมองเห็นโลกภายนอก (Passthrough) ที่สมจริง Galaxy XR อัดแน่นด้วยกล้องและเซนเซอร์ถึง 16 จุด:
กล้อง Passthrough: 2 ตัว (18mm F/2.0) เพื่อส่งภาพโลกจริงเข้ามาในตาเรา
กล้อง Tracking: 6 ตัว สำหรับจับสภาพแวดล้อม
กล้องจับดวงตา (Eye Tracking): 4 ตัว เพื่อการสั่งงานด้วยสายตาที่แม่นยำ
เซนเซอร์อื่นๆ: มีเซนเซอร์วัดความลึก (Depth), เซนเซอร์จับแสง, และ IMU อีก 5 ตัว เพื่อจับการเคลื่อนไหวของศีรษะอย่างละเอียด
ความปลอดภัย: รองรับการปลดล็อกด้วยม่านตา (Iris Recognition)
4. ระบบปฏิบัติการ Android XR และ Gemini AI
นี่คือจุดแข็งที่ทำให้ Galaxy XR แตกต่างจากคู่แข่ง เพราะมันรันบนระบบปฏิบัติการใหม่ “Android XR” ที่พัฒนาร่วมกับ Google
Ecosystem ที่เปิดกว้าง: รองรับแอปพลิเคชัน Android มาตรฐานได้ทันที และเข้าถึง Google Play Store ได้เต็มรูปแบบ ไม่ต้องรอให้นักพัฒนาพอร์ตแอปใหม่
Gemini Integration: มี AI อัจฉริยะอย่าง Google Gemini ฝังมาในระบบ สามารถ “มองเห็น” สิ่งที่เรามองผ่านแว่น และตอบคำถามหรือให้ข้อมูลได้ทันที (Multimodal AI) เช่น ถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว หรือวิธีซ่อมของที่อยู่ตรงหน้า
5. การควบคุมและอุปกรณ์เสริม
Samsung ออกแบบให้ Galaxy XR รองรับการควบคุมที่หลากหลาย (Multimodal Interaction):
Hand & Eye Tracking: ใช้สายตามองและจีบนิ้วสั่งงานได้เหมือนคู่แข่ง
Voice Control: สั่งงานด้วยเสียงผ่านไมโครโฟน 6 ตัว
Galaxy XR Controllers (ขายแยก $250): สำหรับเกมเมอร์หรือสายทำงานที่ต้องการความแม่นยำสูง มีจอยคอนโทรลเลอร์แบบไร้วงแหวน (Ringless) ที่จับถนัดมือพร้อมระบบสั่น Haptic Feedback
6. ดีไซน์ น้ำหนัก และแบตเตอรี่
น้ำหนัก: ตัวแว่นหนักเพียง 545 กรัม (เบากว่า Vision Pro ที่หนักราว 600-650 กรัม)
แบตเตอรี่: ใช้ดีไซน์แบตเตอรี่แยกแบบมีสาย (Wired Battery Pack) น้ำหนัก 302 กรัม เพื่อลดน้ำหนักที่ศีรษะ ใช้งานทั่วไปได้นาน 2 ชั่วโมง และดูวิดีโอได้ 2.5 ชั่วโมง
ความสบาย: สามารถปรับระยะห่างระหว่างดวงตา (IPD) ได้ตั้งแต่ 54-70 มม. และรองรับการใส่เลนส์สายตาเสริม (Magnetic Optical Inserts)
สรุป: ความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้
ด้วยราคาเปิดตัว $1,799 (ประมาณ 60,000 บาท) ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งเกือบครึ่ง แต่ได้หน้าจอที่ละเอียดกว่า น้ำหนักเบากว่า และระบบ Android ที่ยืดหยุ่นกว่า ทำให้ Samsung Galaxy XR กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของแว่น Mixed Reality ในปี 2025 นี้
สำหรับผู้ที่สนใจ สินค้าเริ่มวางจำหน่ายแล้วผ่าน Samsung.com ในบางประเทศ และคาดว่าจะมีการขยายตลาดมายังภูมิภาคอื่นๆ ในเร็วๆ นี้
(อ้างอิงข้อมูลจาก: Samsung Newsroom, RoadtoVR, Mashable)