ในปีที่ผ่านมาเราได้แชร์รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับ Meta Quest Pro หรือ Project Cambria ซึ่งเป็นแว่น VR แบบครบวงจรรุ่นใหม่ที่แสดงถึงการก้าวกระโดดครั้งสำคัญสำหรับฮาร์ดแวร์ VR วันนี้ทาง Meta ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว มีชื่อว่า  Meta Quest Pro
Meta Quest Pro เป็นสินค้าตัวแรกในกลุ่มสินค้าระดับไฮเอนด์หรือสินค้าที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีมากๆ ของ Meta และอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์หรือคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น เซ็นเซอร์ที่มีความละเอียดสูง เพื่อการเล่นหรือใช้งานแว่น VR ที่เหมือนกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น และมาพร้อมกับจอ LCD เพื่อภาพที่คมชัดมากกว่าเดิม โดยมีการออกแบบใหม่ การติดตามและการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางของอวาตาร์ในแว่น VR อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อช่วยให้อวาตาร์เลียนแบบสิ่งที่คุณแสดงออกมาในแว่น VR ได้อย่างเป็นธรรมชาติและเหมือนกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
Meta Quest Pro จะวางขายในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ โดยในราคา 1,499.99 ดอลลาร์ ซึ่งรวมแว่น VR, controllers (Meta Quest Touch Pro) หรือตัวจอยควบคุม, ปากกาสไตลัส ซึ่งจะทำหน้าที่สัมผัสกับหน้าจอทัชสกรีนโดยตรง โดยที่เราไม่ต้องใช้นิ้วสัมผัส, ตัวบล็อกแสง และแท่นชาร์จ คุณสามารถสั่งซื้อ Meta Quest Pro ล่วงหน้าได้ทาง Line ID : @metaxr ได้ตั้งแต่วันนี้ และเราเชื่อว่าอุปกรณ์ VR จะช่วยให้สามารถทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างแพร่หลายเหมือนโน๊ตบุ๊คและแท็บเล็ตในทุกวันนี้ และทำให้ผู้คนใช้แว่น VR ในชีวิตประจำวันเพื่อเข้าถึง Metaverse ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย Meta Quest Pro แสดงถึงก้าวสำคัญสู่อนาคต เพราะออกแบบมาเพื่อสร้างความเป็นไปได้ที่มีความเสมือนจริงของแว่น VR 
Meta Quest Pro เป็นอุปกรณ์เครื่องแรกที่ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์ม Qualcomm Snapdragon XR2+ ใหม่ ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้แว่น VR ทำงานด้วยพลังงานมากกว่า Oculus Quest 2 ถึง 50% พร้อมการกระจายความร้อนที่ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Meta Quest Pro แต่ละตัวมาพร้อมกับ RAM ขนาด 12GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB และเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง 10 ตัว (ภายในแว่น VR 5 ตัวและภายนอก 5 ตัว) ที่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การเล่นที่ดีและหลากหลายมากยิ่งขึ้น

เลนส์รุ่นใหม่ของ Meta Quest Pro

VR นั้นส่วนมากเกี่ยวข้องกับภาพทั้งหมด และ Meta Quest Pro มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่เหนือกว่า Oculus Quest 2 โดยการเปลี่ยนเลนส์กรองแสงใหม่ทั้งหมดใน Meta Quest Pro ซึ่งมาแทนที่เลนส์ Fresnel ใน Oculus Quest 2 ด้วยเลนส์แพนเค้กบางๆ ช่วยลดความลึกของโมดูลออปติคัล 40% ในขณะที่ให้ภาพที่ชัดเจนและคมชัด มีจอ LCD สองจอใช้เทคโนโลยีการหรี่แสงเฉพาะที่และเทคโนโลยี Qualcomm เพื่อให้สีสันที่สมบูรณ์และสดใสยิ่งขึ้น เทคโนโลยีการหรี่แสงในพื้นที่แบบกำหนดเองของ Meta Quest Pro ซึ่งขับเคลื่อนโดยฮาร์ดแวร์แบ็คไลท์หรือฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวกับการจัดการแสงที่ส่องจากด้านหลังของภาพเฉพาะและคำสั่งที่มีซับซ้อนของซอฟต์แวร์ที่ประกอบเข้าด้วยกัน สามารถควบคุมบล็อก LED มากกว่า 500 บล็อกอย่างอิสระ ทำให้จอแสดงผลมีความแตกต่างมากขึ้น 75%
Meta Quest Pro ยังมีพิกเซลเพิ่มขึ้น 37% และพิกเซลต่อองศามากกว่า Oculus Quest 2 ถึง 10% ทำให้ตั้งแต่การอ่านข้อความไปจนถึงการเล่นเกมมีคุณภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงความคมชัดของภาพ 25% จากมุมมองตรงกลาง, การปรับปรุง 50% ในพื้นที่รอบข้าง และขอบเขตสีที่ใหญ่กว่า Oculus Quest 2 ถึง 1.3 เท่า

Mixed Reality แบบเต็มรูปแบบ

Meta Quest Pro ได้คิดค้นออกแบบเซ็นเซอร์ใหม่ทั้งหมดที่มีกล้องหันออกด้านนอกความละเอียดสูงที่จับภาพพิกเซลได้ 4 เท่าเป็นกล้องภายนอกของ Oculus Quest 2 ซึ่งปลดล็อกประสบการณ์ Mixed Reality แบบเต็มรูปแบบด้วยความละเอียดที่มีสูงยิ่งขึ้นบน Oculus Quest 2 ช่วยให้คุณมองเห็นโลกภายนอกอุปกรณ์ของคุณเป็นสีขาวดำ แต่ด้วย Meta Quest Pro สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวของคุณในแบบสีเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสร้างประสบการณ์  Mixed Reality ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้ชุดเครื่องมือ Presence Platform ของ Meta
Meta Quest Pro นำเสนอ Passthrough เสมือนจริงแบบผสมสามมิติ ซึ่งรวมมุมมองเซ็นเซอร์หลายตัวเพื่อสร้างมุมมองที่เป็นธรรมชาติของโลกในแบบ 3 มิติ เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชัน passthrough แบบกล้องส่องทางไกล ผลลัพธ์ที่ได้จะมีคุณภาพสูงขึ้นและประสบการณ์ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยการรับรู้เชิงลึกที่เพิ่มมากขึ้น
Mixed Reality บน Meta Quest Pro ช่วยให้คุณสามารถทำงานร่วมกับเพื่อน แทนที่จะจำกัดขนาดพื้นที่ของโต๊ะทำงาน คุณสามารถตั้งค่าพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่มีขนาดใหญ่ มีหน้าจอหลายหน้าจอกระจายอยู่รอบตัวคุณ ในขณะที่ยังคงใช้แป้นพิมพ์และเมาส์จริงในแอปเพื่อการทำงาน เช่น Immersed หรือหากคุณเป็นนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ คุณสามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติแบบละเอียดกับคนอื่นๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้ Arkio และ Gravity Sketch  ซึ่งผู้คนตั้งแต่สองคนขึ้นไปสามารถเล่นหรือทำงานร่วมกันใน VR ได้ในขณะที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน